27 December 2007

BitTorrent


     บิตทอร์เรนต์ (BitTorrent) เป็นโปรโตคอลรูปแบบ peer-to-peer ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกันโดยตรง ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีต้นกำเนิดมาจากความคิดของนายแบรม โคเฮน (Bram Cohen) ที่ต้องการให้การส่งผ่านข้อมูลสามารถอำนวยประโยชน์ได้ทั้งขาเข้าและขาออก ซึ่งเขาเริ่มพัฒนามันขึ้นมาตั้งแต่เดือน เมษายน ค.ศ. 2001

หลักการทำงานของโปรแกรมบิตทอร์เรนต์



     เครือข่ายของการใช้โปรแกรมบิตทอร์เรนต์นั้นเป็นลักษณะโยงใยถึงกันหมด ทุกเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถรับส่งไฟล์ถึงกันได้ตลอดเวลา ซึ่งทุกเครื่องจะเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้

     เมื่อไฟล์เริ่มต้นเผยแพร่มาจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง เครื่องอื่น ๆ ที่ต้องการไฟล์ (หรือผู้ที่รอโหลดอยู่นั่นเอง) ก็จะค่อยๆ ได้รับชิ้นส่วนไฟล์ไปทีละชิ้นทีละชิ้นแบบสุ่ม เหมือนภาพต่อจิ๊กซอว์

     ทันทีที่ได้รับชิ้นส่วนไฟล์มา คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นก็สามารถส่งต่อชิ้นส่วนไฟล์ที่ได้รับมาแล้วให้เครื่องอื่นที่ยังไม่มีได้ทันที ไม่ต้องรอให้ตัวเองได้ชิ้นส่วนไฟล์จนครบ 100% เสียก่อน เป็นลักษณะของการเติมเต็มให้กัน ชิ้นส่วนไฟล์ตรงใหนที่ขาดไป สุดท้ายแล้วก็จะได้รับมาจากคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายในที่สุด ด้วยสาเหตุนี้เอง โปรแกรมบิตทอร์เรนต์จึงสามารถทำให้การส่งผ่านข้อมูลสามารถอำนวยประโยชน์ได้ทั้งขาเข้าและขาออก

การใช้งาน

     ก่อนการใช้งานต้องมีโปรแกรมที่เรียกว่า ทอร์เร็นต์ไคลเอนต์ ก่อน หลังจากนั่นจึงจะสามารถไป ดาวน์โหลด ไฟล์จากเว็บไซต์ บิตทอร์เรนต์ ต่างๆได้ โดยในปัจจุบัน เว็บไซต์ บิตทอร์เรนต์ มี 2 ประเภทคือ บิตทอร์เรนต์เปิด และ บิตทอร์เรนต์ปิด

- บิตทอร์เรนต์เปิด - คือเว็บไซต์ บิตทอร์เรนต์ ที่บุคคลทั่วไปทั่วไปหรือสมาชิกที่ผ่านเข้าไปสามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้ โดยไม่มีเงื่อนไขและไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกที่เว็บไซต์นั้นๆ
- บิตทอร์เรนต์ปิด - คือเว็บไซต์ บิตทอร์เรนต์ ที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถเข้าไปดาวน์โหลดไฟล์ได้ โดยจะต้องเป็นสมาชิกก่อนเท่านั้น และจะไม่สามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้ ถ้าสมาชิกยังไม่ได้ออัปโหลด โดยจะมีการคำนวณ ปริมาณการอัปโหลดต่อดาวน์โหลดเป็น Ratio โดยแต่ละเว็บไซต์จะกำหนด Ratio ขั้นต่ำในการดาวน์โหลดไฟล์แตกต่างกัน

Virtual Private Network คืออะไร

Virtual private network (VPN) คือ เครือข่ายที่มีการติดต่อเชื่อมโยงโดยอาศัยเส้นทางจากเครือข่ายสาธารณะในการเชื่อมต่อกัน แต่เครือข่ายชนิดนี้จะเชื่อมต่อกันได้ภายในองค์กรเดียวกันเท่านั้น เรียกว่า เครือข่ายเสมือนส่วนตัว หรือ เรียกกันสั้นๆว่า VPN การส่งข้อมูลที่เป็นเครือข่ายส่วนตัว(Private Network)จะมีการเข้ารหัสแพ็กเก็ตก่อนการส่ง เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับข้อมูล และส่งข้อมูลไปตามเส้นทางที่สร้างขึ้นเสมือนกับอุโมงค์ที่อยู่ภายในเครือข่ายสาธารณะ (Public Network)นั่นก็คือเครือข่าย อินเทอร์เน็ต นั่นเอง เครือข่ายเสมือนส่วนตัวสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายจากเครือข่ายหนึ่งไปยังอีกเครือข่ายหนึ่งได้ VPN จะช่วยให้คุณสามารถส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้ได้รับความสะดวกและรวดเร็วในการส่งข้อมูลในแต่ละครั้ง

เครือข่ายส่วนตัว(Private Network)เป็นระบบเครือข่ายที่จัดตั้งขึ้นไว้สำหรับหน่วยงานหรือองค์กรที่เป็นเจ้าของและมีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ซึ่งทรัพยากรและการสื่อสารต่างที่มีอยู่ในเครือข่ายจะมีไว้เฉพาะบุคคลในองค์กรเท่านั้นที่มีสิทธเข้ามาใช้ บุคคลภายนอกเครือข่ายไม่สามารถเข้ามาร่วมใช้งานบนเครือข่ายขององค์กรได้ ถึงแม้ว่าจะมีการเชื่อมโยงกันระหว่างสาขาขององค์กรและในเครือข่ายสาธารณะก็ตาม เพราะฉะนั้น ระบบเครือข่ายส่วนตัวจึงมีจุดเด่นในเรื่องของการรักษาความลับและเรื่องความปลอดภัย ส่วนเครือข่ายสาธารณะ (Public Data Network)เป็นเครือข่ายที่รวมเอาเครือข่ายระบบต่างๆ ไว้ด้วยกันและสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างอิสระ เหมาะสำหรับบุคคลหรือองค์กรที่ไม่ต้องการวางเครือข่ายเอง โดยการไปเช่าช่องทางของเครือข่ายสาธารณะซึ่งองค์กรที่ได้รับสัมปทานจัดตั้งขึ้น สามารถใช้งานได้ทันทีและค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการจัดตั้งระบบเครือข่ายส่วนตัว

ลักษณะการทำงานของเครือข่ายเสมือนส่วนตัว (Virtual Private Network) เครือข่ายเสมือนส่วนตัว หรือ Virtual Private Network เป็นเครือข่ายที่มีเส้นทางทำงานอยู่ในเครือข่ายสาธารณะ ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลในเครือข่ายส่วนตัวจึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก เครือข่ายเสมือนส่วนตัวจะมีการส่งข้อมูลในรูปแบบแพ็กเก็ตออกมาที่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีการเข้ารหัสข้อมูล(Data Encryption)ก่อนการส่งข้อมูล เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับข้อมูลและส่งข้อมูลผ่านอุโมงค์ (Tunneling)ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นจากจุดต้นทางไปถึงปลายทางระหว่างผู้ให้บริการ VPN กับผู้ใช้บริการ การเข้ารหัสข้อมูลนี้เองเป็นการไม่อณุญาตให้บุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสามารถอ่านข้อมูลได้จนสามารถที่จะส่งไปถึงปลายทางและมีเพียงผู้รับปลายทางเท่านั้นที่สามารถถอดรหัสข้อมูลและนำข้อมูลไปใช้ได้

การทำงานของระบบเครือข่ายส่วนตัวมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้

1. Authentication VPN เป็นการตรวจสอบและพิสูจน์เพื่อยืนยันผู้ใช้งาน หรือยืนยันข้อมูล ความมีสิทธิ์ในการเข้าถึงเพื่อใช้งานเครือข่าย ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูล
2. Encryption เป็นการเข้ารหัสข้อมูลซึ่งข้อมูลที่ส่งนั้นจะส่งไปเป็นแพ็กเก็ตและมีการเข้ารหัสข้อมูลก่อนการส่งเสมอทั้งนี้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลและป้องกันการโจรกรรมจากบุคคลนอกองค์กร

เมื่อข้อมูลส่งถึงปลายทางอุปกรณ์ปลายทางจะทำการถอดรหัสข้อมูล ให้เป็นเหมือนเดิม เพื่อนำมาใช้งานต่อไป

- Tunneling เป็นวิธีการสร้างอุโมงค์เพื่อเป็นช่องทางในการส่งข้อมูล การสร้างอุโมงค์เป็นหน้าที่ของอุปกรณ์เชื่อมต่อ
- Firewall หรือระบบรักษาความปลอดภัย มีหน้าที่ในการให้อณุญาตและไม่อณุญาตผู้ที่ต้องการเข้ามาใช้งานในระบบเครือข่าย

ATM (Asynchronous Transfer Mode) คืออะไร

เครือข่าย ATM จะใช้โปรโตคอล ATM (Asynchronous Transfer Mode) เป็นมาตรฐานการส่งข้อมูลความเร็วสูง โดย ATM ถูกพัฒนามาเพื่อให้ใช้กับงานที่มีลักษณะ ข้อมูลหลายรูปแบบและต้องการความเร็วในการส่งข้อมูลสูงมากๆ มีความเร็วในการส่งข้อมูลได้ตั้งแต่ 2 Mbps ไปจนถึง 622 Mbps สื่อที่ใช้ในเครือข่ายมีได้ตั้งแต่สายโคแอกเชียล สายไฟเบอร์ออปติค หรือสายไขว้คู่ (Twisted pair) โดย ATM นั้นถูกพัฒนามาจากเครือ ข่าย Packet-switching ซึ่งจะแบ่งข้อมูลที่จะส่งออกเป็นหน่วยย่อยๆ เรียกว่า packet ที่มีขนาดเล็กและคงที่แล้วจึงส่งแต่ละ packet ออกไป แล้วนำมาประกอบรวมกันเป็นข้อมูลเดิมอีกครั้งที่ปลายทาง ข้อดีของ ATM คือสามารถใช้กับข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ภาพเคลื่อนไหว,ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือเสียง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเร็วของข้อมูลสูง และยังมีการรับประกันคุณภาพของการส่ง เนื่องจากมี Quality of Service(QoS)

จุดเด่นของเครือข่าย ATM ที่เหนือกว่าเครือข่ายประเภทอื่น คือ อัตราการส่งผ่านข้อมูลสูง และเวลาในการเดินทางของข้อมูลน้อย จึงทำให้มีบางกลุ่มเชื่อว่า ATM จะเป็นเทคโนโลยีหลักของเครือข่ายLANในอนาคต เนื่องจากสามารถรองรับApplication ที่ต้องการอัตราส่งผ่านข้อมูลสูง เช่น การประชุมทางไกล (Videoconferencing) หรือแม้กระทั่งApplicationแบบตอบโต้กับระหว่าง Client กับ Sever

ATM เป็นระบบเครือข่ายแบบแพ็กเก็ตสวิตซ์ชนิดพิเศษ เนื่องด้วยกลุ่มข้อมูลที่ส่งแบบแพ็กเก็ตสวิตซ์โดยทั่วไปจะเรียกว่า "แพ็กเก็ต" แต่ ATM จะใช้ "เซลล์" แทน ที่ใช้คำว่าเซลล์เนื่องจาก เซลล์นั้นจะมีขนาดที่เล็กและคงที่ ในขณะที่แพ็กเก็ตมีขนาดไม่คงที่ และใหญ่กว่าเซลล์มาก โดยมาตรฐานแล้วเซลล์จะมีขนาด 53 ไบต์ โดยมีข้อมูล 48 ไบต์ และอีก 5 ไบต์ จะเป็นส่วนหัว(Header) ทำให้สวิตซ์ของ ATM ทำงานได้เร็วกว่าสวิตซ์ของเครือข่ายอื่น ๆ


QoS(Quality of service) หรือคุณภาพของการให้บริการ ใน ATM จะหมายถึงการรับรองอัตราข้อมูลขั้นต่ำ และอัตราข้อมูลสูงสุดที่เครือข่ายสามารถรองรับได้ ในกรณีที่มีข้อมูลมากกว่าอัตราที่กำหนด แพ็กเก็ตอาจจะไปส่งไม่ถึงปลายทางก็เป็นได้ จากปัญหานี้ ATM จึงได้ปรับเทคนิคเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียของข้อมูล โดยใช้เทคนิคการปรับจราจร (Traffic Shaping) เพื่อกำหนดให้แพ็กเก็ตเป็นไปตามข้อกำหนดที่วางไว้ และอีกเทคนิคหนึ่งที่ใช้คือ การกำหนดนโยบายจราจร (Traffic Policing)

พื้นฐานของ ATM

กลไกการส่งข้อมูลของ ATM มีรูปแบบในการรับส่ง คือ สถานีส่งและสถานีรับจะมีการสร้างเส้นทางเสมือน (Virtual Path) สำหรับข้อมูลก่อนที่จะทำการส่ง สวิตซ์ที่อยู่ในเส้นทางเสมือนจะมีหน้าที่ส่งแพ็ตเก็ตต่อกันเป็นทอดๆ โดยใช้ข้อมูลในส่วนหัว

14 December 2007

Nanotechnology คืออะไร


นาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology) คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการ การสร้างหรือการวิเคราะห์ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรหรือผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ในระดับนาโนเมตร(ประมาณ 1-100 นาโนเมตร) รวมถึงการออกแบบหรือการประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้สร้างหรือวิเคราะห์วัสดุในระดับที่เล็กมากๆ เช่น การจัดอะตอมและโมเลกุลในตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ส่งผลให้โครงสร้างของวัสดุหรืออุปกรณ์มีคุณสมบัติพิเศษขึ้นไม่ว่าทางด้านฟิสิกส์ เคมี หรือชีวภาพ และสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

นาโนเทคโนโลยีช่วยอะไรเราได้บ้าง



ความหวังที่จะฝ่าวิกฤติปัจจุบันของมนุษยชาติจากนาโนเทคโนโลยีมีดังนี้

  1. พบทางออกที่จะได้ใช้พลังงานราคาถูกและสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

  2. มีน้ำที่สะอาดเพียงพอสำหรับทุกคนในโลก

  3. ทำให้มนุษย์สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนกว่าเดิม (มนุษย์อาจมีอายุเฉลี่ยถึง 200 ปี)

  4. สามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างพอเพียงกับประชากรโลก

  5. เพิ่มศักยภาพในการติดต่อสื่อสารของผู้คนทั้งโลกอย่างทั่วถึง ทัดเทียม และพอเพียง

  6. เพิ่มศักยภาพในการสำรวจอวกาศมากขึ้น


ตัวอย่างผลงานจากนาโนเทคโนโลยี


  • คอนกรีตชนิดหนึ่งใช้เทคโนโลยีนาโน ใช้ Biochemical ทำปฏิกิริยาย่อยสลายกับมลภาวะที่เกิดจากรถยนต์ เช่น ไนโตรเจนไดออกไซด์ ในประเทศอังกฤษได้เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างถนนและอุโมงค์ต่างๆ เพื่อลดมลภาวะบนท้องถนน และขณะเดียวกันเทคโนโลยีนาโน ทำให้อนุภาคคอนกรีตมีขนาดเล็กมาก ฝุ่น และแบคทีเรีย ไม่สามารถฝังตัวในเนื้อคอนกรีตได้ ทำให้อาคารที่ใช้คอนกรีตชนิดนี้ ดูใหม่เสมอ และยังคงไม่สะสมเชื้อโรค

  • เสื้อนาโน ด้วยการฝัง อนุภาคนาโนเงิน (silver nanoparticle) ทำให้เกิดปฏิกิริยากับการเจริญเติบโิตของแบคทีเรีย

  • ไม้เทนนิสนาโน ผสม ท่อคาร์บอนนาโน เป็นตัวเสริมแรง ทำให้แข็งแรงขึ้น

11 December 2007

VoIP คืออะไร

วีโอไอพี (VoIP) ย่อมาจาก วอยส์โอเวอร์ไอพี (Voice over Internet Protocol) (หรือชื่ออื่น IP Telephony, Internet telephony, หรือ Digital Phone) เป็นการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต หรือโครงข่ายอื่นๆ ที่ใช้อินเทอร์เน็ตโปรโตคอล สัญญาณเสียงจะถูกตัดแบ่งเป็นแพ็คเก็ตวิ่งผ่านไปบนโครงข่ายที่ใช้สำหรับการสื่อสารข้อมูลทั่วไป แทนการใช้วงจรเฉพาะตามวิธีการสื่อสารในระบบโทรศัพท์แบบดั้งเดิม เปรียบได้กับการให้รถยนต์วิ่งแทรกกันได้ตามช่องว่างที่มีอยู่ของถนน แทนการให้รถยนต์คันเดียวจองถนนวิ่งแบบผูกขาด ข้อดีของวีโอไอพีก็คือการสามารถใช้โครงข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถให้บริการได้ในอัตราค่าบริการที่ถูกลงมาก

การใช้งาน



ในการใช้บริการวีโอไอพี ผู้ใช้บริการจะต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก่อน หลังจากนั้น สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า ซอฟท์โฟน และไมโครโฟนกับหูฟัง เพื่อพูดคุยกับปลายทางได้ ในปัจจุบัน มีอุปกรณ์ที่เรียกว่า อะนาล็อกเทเลโฟนอะแด็ปเตอร์ เข้ามาแทนการใช้คอมพิวเตอร์ ต่อกับอินเทอร์เน็ต และใช้เครื่องโทรศัพท์อะนาล็อกที่ใช้งานตามบ้านหรือสำนักงานทั่วไปในการโทรศัพท์แบบวีโอไอพีได้ ทำให้ได้รับความสะดวก และความรู้สึกไม่แตกต่างจากการใช้โทรศัพท์แบบดั้งเดิม

การใช้งานวีโอไอพี สามารถใช้งานได้ทั้งในการโทรศัพท์ถึงปลายทางที่เป็นวีโอไอพีเช่นเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีการเก็บค่าบริการ แต่ทั้งสองข้างจะต้องออนไลน์พร้อมกัน หรือจะโทรไปยังปลายทางที่เป็นหมายเลขโทรศัพท์ปกติ ทั้งโทรศัพท์ประจำที่หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ได้ ในกรณีนี้ จะต้องมีการสมัครเป็นสมาชิกของบริการและชำระค่าบริการล่วงหน้า แต่ค่าบริการจะถูกกว่าการโทรศัพท์ปกติมาก

จุดด้อยของวีโอไอพี

จุดด้อยของวีโอไอพีก็คือ ในบางกรณีคุณภาพเสียงอาจจะไม่ดีเท่าโทรศัพท์ปกติ และอาจจะมีการดีเลย์หรือการที่สัญญาณเสียงเดินทางมาช้า ทำให้พูดสวนกันไม่ได้ถนัด ต้องรอให้แต่ละฝ่ายพูดให้จบก่อนจึงจะพูดได้ แต่ปัญหานี้ได้รับการปรับปรุงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนแทบจะไม่มีความแตกต่างอีกต่อไป ข้อเสียอีกประการหนึ่งก็คือ โทรศัพท์วีโอไอพี จะใช้งานไม่ได้เมื่อไฟฟ้าดับ หรืออินเทอร์เน็ตเกิดขัดข้อง

อนาคตของวีโอไอพี

วีโอไอพี หรือที่มักจะเรียกกันย่อๆว่าวอยส ์จะได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากคุณภาพที่ได้รับปรับปรุงและค่าใช้จ่ายที่ถูก จนในที่สุดอาจจะกลายเป็นบริการฟรี เช่น เดียวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตอื่นๆ เช่น การสืบค้นเว็บไซต์ การใช้อีเมล เพราะอันที่จริงก็ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ผู้ใช้บริการเพียงแต่จ่ายค่าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเท่านั้น

เนื่องจากในปัจจุบัน วีโอไอพี ไม่มีหมายเลขของตัวเอง ได้มีความพยายามที่จะสร้างเลขหมายโทรศัพท์สำหรับวีโอไอพีที่ใช้งานได้ทั่วโลก เรียกว่า อีนัม (enum) ซึ่งถ้าได้มีการยอมรับแพร่หลาย เราก็จะมีหมายเลขนี้ติดตัวเราไปได้ทุกที่ทั่วโลก เพียงแต่เข้าอินเทอร์เน็ตได้ ก็สามารถติดต่อกันได้โดยกดหมายเลขอีนัมคล้ายๆ กับโทรศัพท์ในปัจจุบัน

นอกจากนั้น ถ้าโครงข่ายไว-ไฟ หรือ ไวแม็กซ์ มีการขยายครอบคลุมมากขึ้น ก็เป็นไปได้ว่าจะมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านไว-ไฟ หรือ ไวแม็กซ์ ที่สามารถใช้วีโอไอพีได้ ซึ่งจะมีความสามารถสูงกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีแบนด์วิดธ์ที่กว้าง การใช้วีดีโอโฟน จะกลายเป็นมาตรฐานทั่วไป ในปัจจุบัน ก็เริ่มมีการวางตลาดเครื่องโทรศัพท์มือถือที่ใช้เป็นโทรศัพท์ไว-ไฟในตัวบ้างแล้ว

10 December 2007

WiMax คืออะไร


WiMAX เป็นชื่อย่อของ Worldwide Interoperability for Microwave Access ซึ่งเป็นเทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูงที่ถูกพัฒนาขึ้นมาบนมาตรฐาน IEEE 802.16 ซึ่งก็ได้พัฒนามาตรฐาน IEEE 802.16a ขึ้นโดยได้การอนุมัติออกมาเมื่อเดือนมกราคม 2004 โดยสถาบันวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (IEEE: Institute of Electrical and Electronics Engineers) ซึ่งมีรัศมีทำการที่ 30 ไมล์ (ประมาณ 50 กิโลเมตร) หมายความว่า WiMAX สามารถให้บริการครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่าระบบไครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G มากถึง 10 เท่า ยิ่งกว่านั้นยังมีอัตรความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลสูงสุดถึง 75 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps) ซึ่งเร็วกว่า 3G ถึง 30 เท่า

มาตรฐาน IEEE 802.16a หรือ WiMAX มีความสามารถในการส่งกระจายสัญญาณในลักษณะจากจุดเดียวไปยังหลายจุด (Point-to-multipoint) ได้พร้อมๆ กัน โดยมีความสามารถรองรับการทำงานในแบบ Non-Line-of-Sight ได้ สามารถทำงานได้แม้กระทั่งมีสิ่งกีดขวาง (ต้นไม้ อาคาร) ได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ WiMAX สามารถช่วยให้ผู้ที่ใช้งานสามารถขยายเครือข่ายเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้กว้างขวางด้วยรัศมีทำการถึง 31 ไมล์ (ประมาณ 48 กิโลเมตร) และมีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดถึง 75 Mbps มาตรฐาน IEEE 802.16a นี้ใช้งานอยู่บนคลื่นไมโครเวฟที่ความถี่ระหว่าง 2-11 กิกะเฮรตซ์ (GHz) และยังสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์มาตรฐานชนิดอื่นๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี

จากจุดเด่นข้างต้น ทำให้เทคโนโลยีตัวนี้สามารถสนองความต้องการของการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตให้กับพื้นที่ที่ห่างไกลที่สายเคเบิลไม่สามารถลากไปไม่ถึงได้เป็นอย่างดี ตลอดจนเพิ่มความสะดวกสบายและประหยัดสำหรับการขยายเครือข่ายในเมืองที่มีอยู่แล้ว เนื่องจากไม่ต้องลงทุนขุดถนนเพื่อวางสายเคเบิลใยแก้วใหม่ นอกจากนั้น WiMAX ยังได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพของคุณภาพในการให้บริการ (QoS) ซึ่งสามารถรองรับการใช้งานภาพ (video) งานเสียง (voice) ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรของเครือข่ายมากอย่างเก่า (low-latency network) อีกทั้งในเรื่องของความปลอดภัยยังได้รับอนุญาต (authentication) ก่อนที่จะเข้าออกเครือข่ายและข้อมูลต่างๆ ที่รับส่งก็จะได้รับการเข้ารหัส (encryption) อีกด้วย ทำให้การรับส่งข้อมูลบนมาตรฐานตัวนี้มีความปลอดภัยมากขึ้น

ความสามารถในการขยายระบบ
WiMAX มีความสามารถในเรื่องการรองรัยการใช้งานแบนด์วิตท์ ช่องสัญญาณ สำหรับการสื่อสารได้ด้วยความยืดหยุ่น โดยสามารถปรับให้สอดคล้องกับแผนการติดตั้งเซลล์ในย่านความถี่ที่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธ์ หรือย่านความถี่ที่ได้รับการยกเว้นค่าลิขสิทธิ์ทั่วโลก เช่น โอเปอเรเตอร์ที่ให้บริการนั้นได้รับความถี่ 20 MHz ก็สามารถที่จะทำการแบ่งคลื่นความถี่นี้ออกเป็น 2 ส่วน โดยแต่ละส่วนนั้นจะอยู่ที่ 10 MHz หรือจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนๆ ละ 5 MHz ก็ได้ ทำให้โอเปอเรเตอร์สามารถบริหารจัดการแต่ละส่วนได้อย่างมีประสิทธภาพ ทั้งยังเพิ่มเติมผู้ใช้งานในแต่ละส่วนได้อีกด้วย

การจัดลำดับความสำคัญของงานบริการ (QoS - Quality of Service) สำหรับระบบเครือข่ายไร้สายมาตรฐาน WiMAX มีคุณสมบัติด้าน QoS ที่รองรับการทำงานของบริการสัญญาณเสียงและสัญญาณวิดีโอ

ระบบรักษาความปลอดภัย
โดยคุณสมบัติของการรักษาความลับของข้อมูลและการเข้ารหัสข้อมูล ในมาตรฐาน WiMAX จะช่วยให้การสื่อสารมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แถมยังมีระบบตรวจสอบสิทธิการใช้งานและมีระบบการเข้ารหัสข้อมูลในตัวด้วย

สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สายมาตรฐาน WiMAX นั้น มีองค์กรที่ได้รับการจัดตั้งจากบรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เพื่อร่วมกันพัฒนาและกำหนดมาตรฐานกลางของเทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูงมาตรฐาน IEEE 802.16 รวมถึงการทำหน้าที่ทดสอบและออกใบรับรองให้แก่อุปกรณืที่ใช้มาตรฐานไร้สายระบบใไม่ ทั้งนี้มาตรฐาน IEEE 802.16 จะถูกเรียกกันทั่วไปว่า WiMAX เช่นเดียวกับมาตรฐาน IEEE 802.11 ที่รู้จักกันในชื่อ Wi-Fi

Wi-Fi คืออะไร


Wi-Fi (วายฟาย ซึ่งย่อมาจาก wireless fidelity) หมายถึงชุดผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่สามารถใช้ได้กับมาตรฐานเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบไร้สาย (WLAN) ซึ่งอยู่บนมาตรฐาน IEEE 802.11

เดิมที Wi-Fi ออกแบบมาใช้สำหรับอุปกรณ์พกพาต่างๆ และใช้เครือข่าย LAN เท่านั้น แต่ปัจจุบันนิยมใช้ Wi-Fi เพื่อต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยอุปกรณ์พกพาต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่าแอคเซสพอยต์ และบริเวณที่ระยะทำการของแอคเซสพอยต์ครอบคลุมเรียกว่า ฮอตสปอต

เริ่มต้นนั้น ชื่อ Wi-Fi ไม่ได้ย่อมาจาก Wireless-Fidelity แต่เป็นชื่อที่ตั้งแทนตัวเลข IEEE 802.11 ซึ่งง่ายกว่าในการจดจำ โดยนำการเรียกชื่อย่อจาก Hi-Fi อย่างไรก็ตามในปัจจุบันใช้เป็นคำย่อของ Wireless-Fidelity โดยมีแสดงในเว็บไซต์ของ Wi-Fi Alliance โดยใช้ชื่อ Wi-Fi เป็นเครื่องหมายการค้า

ปัจจุบัน Wi-Fi ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย เครื่องเล่นวิดีโอเกม นินเทนโด ดีเอส และ พีเอสพี มีความสามารถในการเล่มเกมกับเครื่องอื่นผ่าน Wi-Fi เช่นกัน

07 December 2007

Blu-ray คืออะไร


บลูเรย์ดิสค์ (Blu-ray Disc) หรือ บีดี (BD) คือรูปแบบของแผ่นออพติคอลสำหรับบันทึกข้อมูลความละเอียดสูง ชื่อของบลูเรย์มาจาก ช่วงความยาวคลื่นที่ใช้ในระบบบลูเรย์ ที่ 405 nm ของเลเซอร์สี "ฟ้า" ซึ่งทำให้สามารถทำให้เก็บข้อมูลได้มากกว่าดีวีดี ที่มีขนาดแผ่นเท่ากัน โดยดีวีดีใช้เลเซอร์สีแดงความยาวคลื่น 650 nm

มาตรฐานของบลูเรย์พัฒนาโดย กลุ่มของบริษัทที่เรียกว่า Blu-ray Disc Association ซึ่งนำโดยโซนี และ ฟิลิปส์ เปรียบเทียบกับ เอ็ชดีดีวีดี (HD-DVD) ที่มีลักษณะและการพัฒนาใกล้เคียงกัน บลูเรย์มีความจุ 25 GB ในแบบเลเยอร์เดียว (Single-Layer) และ 50 GB ในแบบสองเลเยอร์ (Double-Layer) ขณะที่ เอ็ชดีดีวีดีแบบเลเยอร์เดียว มี 15 GB และสองเลเยอร์มี 30 GB

ความจุของบลูเรย์ดิสค์ ซึ่งปกติแผ่นบลูเรย์นั้นจะมีลักษณะคล้ายกับแผ่น ซีดี/ดีวีดี โดยแผ่นบลูเรย์จะมีลักษณะแบบหน้าเดียว และสองหน้า โดยแต่ละหน้าสามารถรองรับได้มากถึง 2 เลเยอร์ อาทิ แผ่น BD-R (SL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Single Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 25 GB แผ่น BD-R (DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 50 GB แผ่น BD-R (2DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layer แบบสองหน้า มีความจุ 100 GB

ส่วนความเร็วในการอ่านหรือบันทึกแผ่น Blu-Ray ที่มีค่า 1x, 2x, 4x ในแต่ละ 1x จะมีความเร็ว 36 เมกะบิต ต่อ วินาที นั่นหมายความว่า 4x นั่นจะสามารถบันทึกได้เร็วถึง 144 เมกะบิต ต่อ วินาที

HD DVD คืออะไร


HD DVD (High Definition DVD หรือ High Density DVD) เป็นแผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง (optical disc) ที่ใช้บันทึกวิดีโอความละเอียดสูง (high definition) หรือข้อมูลชนิดอื่นๆ ก็ได้ HD DVD มีลักษณะใกล้เคียงกับ Blu-ray ซึ่งเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลคู่แข่ง โดยใช้ขนาดแผ่นเท่ากับซีดีรอม (เส้นผ่านศูนย์กลาง 12 ซม.)

HD DVD ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมหลายบริษัท เช่น โตชิบา, NEC, ซันโย, ไมโครซอฟท์ และอินเทล รวมถึงบริษัทภาพยนตร์อย่าง Universal Studios โตชิบายังได้ออกวางขายเครื่องเล่นแผ่น HD DVD เครื่องแรกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2006

HD DVD แบบเลเยอร์เดียวจุข้อมูลได้ 15GB และ 30GB สำหรับแบบสองเลเยอร์ โตชิบาได้ประกาศว่าจะผลิตแผ่นแบบ 3 เลเยอร์ที่จุได้ 45GB ในตัวแผ่น HD DVD สามารถใส่ข้อมูลชนิดดีวีดีแบบเดิม และ HD DVD ได้พร้อมกัน การอ่านข้อมูลใช้เลเซอร์ความยาวคลื่นแสงสีฟ้า (405 นาโนเมตร)

ชั้นข้อมูลจะถูกบันทึกถัดไปจากพื้นผิว 0.6 มิลลิเมตรเช่นเดียวกับดีวีดีทั่วไป เทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูลวิดีโอคือ MPEG-2, Video Codec 1 และ H.264/MPEG-4 AVC สนับสนุนระบบเสียงแบบ 7.1 ในส่วนความละเอียดของภาพนั้นขึ้นกับจอภาพที่ใช้ด้วย แต่สามารถขึ้นได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p

Blu-ray versus HD DVD

บลูเรย์ (Blu-ray) คือเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่กำลังถูกผลักดันอย่างมากจากโซนี่ ซัมซุง และไพโอเนียร์ ซึ่งได้รับความร่วมมือกับผู้ผลิตภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ดหลายแห่งเพื่อที่จะผลิตสินค้ามาแทนดีวีดีที่ล้าสมัย ในปัจจุบันดีวีดีใช้แสงเลเซอร์ "สีแดง" ในการอ่าน และบันทึกข้อมูล ส่วนบลูเรย์ ที่มาใหม่นี้ใช้แสง "สีน้ำเงิน" ซึ่งมีคลื่นสั้น และเที่ยงตรงกว่า ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่า แผ่นดิสก์บลูเรย์สำหรับเก็บข้อมูล 1 ชั้น สามารถเก็บข้อมูลได้ 25 กิ๊กกะไบท์ มากกว่าแผ่นดีวีดีธรรมเกือบ 5 เท่า

ทำไมบลูเรย์ถึงสำคัญนัก?
วีดีโอและเครื่องเสียงความละเอียดสูงต้องการหน่วยความจำมาก ดังนั้นถ้าอยากได้ภาพและเสียงที่ชัดเจนสูง การใช้บลูเรย์ หรือ เทคโนโลยีที่ใกล้เคียงน่าจะเป็นแนวทางที่พัฒนาสำหรับอนาคต นอกจากนี้บลูเลย์ทำให้การสื่อสาร 2 ทาง หรือ อินเตอร์แอคทีฟ ก้าวไปอีกระดับ ผู้ใช้สามารถต่ออินเตอร์เน็ต และดาวน์โหลดคำบรรยายภาษาหรือคุณสมบัติอื่น ๆ ของภาพยนตร์ที่กำลังชมได้ และยังบันทึกรายการโทรทัศน์ ความละเอียดสูงด้วยคุณภาพไม่แตกต่างจากต้นฉบับ (ถ้าโทรทัศน์ระบบนี้มีใช้ในประเทศไทย)

ฟังดูดี แต่ปัญหาคืออะไร?
ในขณะที่โซนี่และบริษัทที่อยู่ฝั่งเดียวกันกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาบลูเลย์ ในอีกด้านหนึ่ง โตชิบา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอินเทลและไมโครซอฟท์ กำลังพัฒนาเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ที่เรียกกันว่า เอชดี ดีวีดี (HD DVD) ซึ่งใช้แสงสีน้ำเงินเหมือนกัน ดิสก์บลูเรย์สำหรับเก็บข้อมูล 2 ชั้น สามารถเก็บข้อมูลได้ 50 กิ๊กกะไบท์ ในขณะที่ดิสก์เอชดี ดีวีดี เก็บข้อมูลได้ 30 กิ๊กกะไบท์ แต่ปัญหาคือ 2 ระบบนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คล้ายกับสถาน์เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตอนที่มีการแข่งขันระหว่างระบบวีเอชเอส และระบบเบต้าแม็กซ์ของวีดีโอ ผู้ชนะในสงครามนี้น่าจะเป็นเครื่อง "ลูกผสม" ที่สามารถอ่านได้ทั้ง 2 ระบบ ซึ่งตอนนี้มีการผลิตออกมาจำหน่ายแล้ว ผู้ผลิตภาพยนตร์ฮอลลี้วู๊ดบางค่ายที่ไม่ต้องการเสียผลประโยชน์ก็พร้อมให้การสนับสนุนทั้ง 2 ระบบ เช่นเดียวกับตลาดเกมส์ที่มีมูลค่ามากกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปีก็ไม่น่าจะมีใครยอมพลาด เช่น โซนี่ก็ได้ผลิตเพลย์สเช่น 3 ที่ใช้บลูเรย์แล้ว

ใครจะเป็นผู้ชนะ?
เป็นการยากที่จะทำนายผู้ชนะที่แท้จริง นักวิเคราะห์บางคนบอกว่าเอสดี ดีวีดี ได้เปรียบเพราะออกสู่ตลาดก่อนบลูเรย์ แต่ถ้าพิจารณาจากข้อมูลของผู้ให้เช่าภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก บลูเรย์ได้รีบการสนับสนุนมากกว่าจากกลุ่มบล๊อกบัสเตอร์ โดยเมื่อต้นปีนี้ มีการเปิดเผยข้อมูลว่าการเช่าแผ่นบลูเรย์ได้รับความนิยมมากกว่า
นอกจากนี้ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ฮอลลีวู๊ดก็ทำให้สงครามระหว่าง 2 ระบบนี้เข้มข้นขึ้น เมื่อมีผู้ผลิต 2 ค่ายให้การสนับสนุนเอชดี ดีวีดีเพียงอย่างเดียว แต่อีกหลายค่ายก็สนับสนุนบลูเรย์เพียงอย่างเดียวเหมือนกัน

ทำไมการต่อสู้ระหว่างบริษัทพวกนี้จึงสำคัญสำหรับเรา?
ก็เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้องในอนาคต เมื่อผู้ใช้ต้องการจะซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่สักเครื่อง และต้องเลือกว่าจะใช้ระบบไหน ก็คงต้องมองเผื่นอนาคตด้วย มิฉะนั้นอาจจะเป็นการตัดสินใจผิดพลาดราคาแพงก็ได้

BlackBerry 8820 & 8300 "Curve"


     แบล็คเบอรรี่เพิ่งออกรุ่นใหม่ 2 รุ่น คือ 8820 และ 8300 (หรือเรียกกันว่า เคิร์ฟ) ทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นสมาร์ทโฟนซึ่งเพิ่มคุณสมบัติในการต่ออินเตอร์เน็ตที่มากกว่าการรับและส่งอีเมล์ มีคีย์บอร์ดแบบ QWERTY และจอสี LCD ขนาดใหญ่
แบล็คเบอรรี่ 8820 ดูสวยหรูในสีดำและเงิน มีลูกเล่นน่าประทับใจในการส่งอีเมล์ มี Wi-Fi ในเครื่อง นอกจากนั้นยังมีระบบจีพีเอส (GPS) รุ่นนี้มีขนาด 11.5 x 6.5 x 1.4 ซม. น้ำหนัก 133 กรัม แป้นพิมพ์ขนาดใหญ่กว่ารุ่น 8300
     แบล็คเบอรรี่ 8820 มีหน้าจอขนาด 5 x 3.8 ซม. ความละเอียด 320 x 240 พิกเซล สามารถปรีบแสงได้ ทำให้อ่านจอง่ายตลอดเวลา แม้จะอยู่ใต้แสงแดด การควบคุมเครื่องและการเลือกโปรแกรมต่าง ๆ ทำได้ง่าย ด้วยปุ่มควบคุมขนาดเล็กและปุ่มทิศทาง 4 ปุ่ม การตั้งระบบรับส่งอีเมล์ง่ายมาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็รับข้อความได้
     ด้านแบล็คเบอรรี่ 8300 หรือ เคิร์ฟ มีขนาดเล็กกว่า คือ 10 x 6 x 1.5 ซม. น้ำหนักแค่ 110 กรัม เบากว่ารุ่น 8820 เล็กน้อย รุ่นนี้มีจอที่สามารถปรับแสงได้เหมือนรุ่น 8820 ความแตกต่างคือรุ่น 8820 ผลิตมาเพื่อตอบสนองตลาดสำหรับนักธุรกิจ แต่เคิร์ฟทำเพื่อผู้ใช้ทั่วไปมากกว่า ด้วยการเพิ่มกล้อง 2 ล้านพิกเซลที่ถ่ายภาพได้ดีเหมือนกับกล้องความละเอียดเท่ากันในโทรศัพท์รุ่นอื่น แต่เพิ่มแฟลชให้ด้วย นอกจากนั้นยังมึความสามารถเล่นมัลติมีเดีย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกนักธุรกิจต้องการเท่าไร
     เคิร์ฟ เล่น MP3 AAC WMA MPEG-4 H.263 และ WMV ได้ พร้อมแป้นพิมพ์ OWERTY ที่ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่การพิมพ์ก็สะดวกมาก คียบอร์ดของรุ่นนี้ถูกออกแบบให้รองรับการใช้งานนาน ๆ ได้ดี แบตเตอรี่ของทั้ง 2 รุ่น สามารถใช้งานติดต่อกันได้ 6 ชั่วโมง และ 3 อาทิตย์ในการเปิดเครื่องรอ
ราคา: รุ่น 8820 = 27,000 บาท
รุ่น 8300 = 24,000 บาท

LG Prada


     ถ้ารอให้ iPhone มาเมืองไทยไม่ไหว และอยากหาโทรศัพท์หน้าจอสัมผัสแบบเก๋ ๆ แอลจี ปราดา เป็นตัวเลือกที่ใช่เลย โทรศัพท์รุ่นนี้มีขายในเมืองไทยแค่ 1,000 ตัวเท่านั้น ด้วยรูปร่างเพรียวบาง ใช้ง่าย และหน้าจอ LCD ที่กว้างถึง 3 นิ้ว สามารถเล่น MP3 และมีช่องสำหรับใส่ไมโครเอสดีการ์ด พร้อมกล้อง 2 ล้านพิกเซล พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน SMB เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้

iPod Touch


     ชื่อเสียงของไอพอด ทัช เป็นที่ขจรขจาย เมื่อร้านค้ารายใหญ่เจ้าหนึ่งในประเทศออสเตรเลียได้ออกมากล่าวหาว่า ยอดขายในแผนกอิเล็คทรอนิคส์ตกต่ำทั้งแผนก เนื่องจากการส่งมอบที่ล่าช้าของ "เจ้าทัช" ไม่น่าแปลกใจหรอกที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะไอพอด ทัช เป็นรุ่นที่มีคุณสมบัติที่ผู้ใช้ต้องร้องว้าว! มากที่สุด ด้วยสนนราคาไม่มากไม่มาย คือ 12,999 บาท สำหรับรุ่น 8G และ 16,690 บาท สำหรับรุ่น 16G

     ไอพอด ทัช มีความคล้ายคลึงกับไอโฟนอยู่หลายอย่าง อย่างแรกคือหน้าจอ 3.5 นิ้ว ที่ควบคุมด้วยการสัมผัส และความผอมบางด้วยขนาดที่เท่ากับไอโฟน

JVC GZ-MG275


     เจวีซีรุ่นนี้ได้รับการออกแบบให้ง่ายกับการใช้งาน ไม่มีลูกเล่นมากนัก แต่มีหน่วยความจำมากถึง 40G และช่องเพิ่มหน่วยความจำเอสดีการ์ด ทำให้ JVC GZ-MG275 สามารถถ่ายวีดีโอได้นานถึง 50 ชั่วโมงในโหมดประหยัดพลังงาน และ 10 ชั่วโมงถ้าตั้งที่คุณภาพสูงสุด ซึ่งกล้องสำหรับตลาดกลางตัวนี้จะให้ภาพที่มีคุณภาพดีมากสำหรับภาพแบบ 16:9 แต่ถ้าตั้งในโหมดความละเอียดน้อย ภาพก็ไม่ค่อยดีเท่าไร
ด้วยราคาถือว่า GZ-MG275 มีคุณภาพที่เหมาะสมกับราคา และสะดวกต่อการใช้งาน
ราคา : 29,000 บาท

Sony Handycam HDR-CX7


     เพราะไม่ต้อมีตลับเทปที่เทอะทะ ทำให้กล้องโซนี่ แฮนดี้แคม HDR-CX7 เป็นกล้องที่เพรียวบางเหมาะมือ ใส่ในกระเป๋าเสื้อนอกได้ พร้อมระบบการอัดวีดีโอความละเอียดสูงที่ก้าวหน้าซึ่งพัฒนาโดยโซนี่ และพานาโซนิค บันทึกภาพความละเอียดสูงลงบนการ์ดความจำ Pro Duo ได้โดยตรง
     นอกจากนี้ เลนส์และระบบการถ่ายภาพป้องกันการสั่นไหวของโซนี่ ทำให้ได้ภาพคมชัดแม้ผู้ใช้จะมือสั่นเล็กน้อย ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติและตัววัดแสงทำงานได้ดี ทั้งการถ่ายภาพกลางแดด หรือในร่ม ถือเป็นโบนัสสำหรับผู้ซื้อ แม้จะมีแค่ซูมออฟติคอล 10 เท่า แต่ประสิทธิภาพเทียนเท่ากับซูม 400 มม. ของเลนส์ 35 มม. ของกล้องธรรมดา ซูมขนาดนี้เหลือเฟือในการถ่ายภาพ โดยเฉพาะโหมดภาพกว้าง HDR-CX7 มีหน่วยความจำ 4G ใช้ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดได้นานถึง 30 นาที
     ด้วยน้ำหนักเพียง 450 กรัม เมื่อรวมแบตเตอรี่แล้ว และขนาดเพียง 69 x 67 x 131 มม. CX7 เป็นกล้องวิดีโอที่มีคุณสมบัติที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ต้องการและมีขนาดเหมาะกระเป๋า
ราคา : 49,900 บาท

06 December 2007

Canon IXUS 860IS & 960IS


     คราวนี้หยิบแคนนอนมาให้ดูกันถึง 2 ตัว เริ่มที่แคนนอนดิจิตอล IXUS 860IS กล้องรุ่นนี้มีความรายละเอียดสูงถึง 8 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ขนาด 28-105 มม. ออฟติคอลซูม 3.8 เท่า ภาพที่ได้มีขนาดสูงสุดถึง 3,264 x 2,448 แม้ว่าดูแล้วราคาอาจจะแพงไปนิดเมื่อเทียบกับกล้อง 8 ล้านพิกเซลอื่น ๆ แต่คุณภาพของรูปที่ได้ก็น่าจะพอชดเชยกับราคาที่เพิ่มขี้นไหว
     IXUS 860IS มีจอ LCD ขนาด 3 นิ้ว ซึ่งใหญ่และกินเนื้อที่เกือบทั้งหมดด้านหลังตัวกล้อง แต่จอที่มีพื้นที่ใหญ่อย่างนี้ก็ช่วยให้เห็นภาพคมชัดในทุกสถานการณ์ แม้แต่ในตอนที่มีสภาพแสงแย่ ๆ ก็ตาม กล้องรุ่นนี้ไม่ช่องมองภาพ มีโปรแกรมควบคุมการถ่ายไม่มากนัก มีเพียง 10 โหมดอัตโนมัติให้เลือก แต่ก็ครอบคลุมสถานการณ์หลัก ๆ ได้ครบ ภาพที่ได้ในสภาวะแสงน้อยมีคุณภาพดี แต่ถ้าอยู่ในภาวะแสงน้อยแล้ตั้งค่า ISO สูงอาจจะมีข้อบกพร่องทำให้คุณภาพด้อยลงไปบ้าง
     ระบบการควบคุมภาพหน้าจอ และระบบปรับความเข้มของแฟลซ ถือเป็นงานที่สร้างสรรค์มาก กล้องรุ่นนี้ค่อนข้างเหมาะมือ และมีขนาดเล็กพอที่จะใส่กระเป๋าได้ ถือว่าเป็นกล้อง สำหรับมือสมัครเล่นที่ดีมากรุ่นหนึ่ง
แต่ถ้าต้องการคุณสมบัติสูงขึ้น ก็ต้องหันไปหารุ่น IXUS 960IS ซึ่งถือเป็นรุ่นท็อปของซีรี่ย์นี้ ที่มากับตัวบอดี้แพลทตินัม ความละเอียด 12.1 ล้านพิกเซล มีเลนส์ขนาด 36-133 มม. และออฟติคอลซูม 3.7 เท่า
     IXUS 960IS ให้ภาพที่มีขนาดสูงสุดถึง 3,264 x 2,448 จอภาพขนาด 2.5 นิ้ว พร้อมช่องมองภาพ อย่างไรก็ตามการที่รุ่นท็อปมีความละเอียดเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความแตกต่างที่เห็นได้ชัด เช่น การที่จำนวนพิกเซลเพิ่มขึ้น ทำให้การประมวลผลนานขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่ต้องใช้แฟลช หลังจากกดชัดเตอร์แล้ว อาจจะต้องใช้เวลาในการเก็บภาพลงหน่วยความจำตั้ง 2-3 วินาที ในขณะที่รุ่น 860IS ไม่มีการดีเลย์
ราคา IXUS 860IS = 15,900 บาท
ราคา IXUS 960IS = 16,900 บาท

Sony Cyber-Shot DSC-T200


     โซนี่ ที ซีรี่ย์ ใหม่ DSC-T200 ความละเอียด 8.1 ล้านพิกเซล รุ่นบางเฉียบนี้ เป็นกล้องคอมแพ็คที่มึคุณสมบัติน่าสนใจมากมาย T-200 มาพร้อมกับ ชัตเตอร์ยิ้ม (Smile Shutter) ที่เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้าไปอีกระดับ เมื่อใช้ถ่ายรูปหมู่ ช่างภาพสามารถเก็บ "ยิ้ม" ของคนในภาพได้ถึง 6 คน เมื่อกล้องจับภาพยิ้มได้แล้ว ชัตเตอร์จะถูกปล่อยอัตโนมัติ กล้องรุ่นนี้ "รับประกันหน้ายิ้ม" ได้แน่นนอน
     T-200 พร้อมใช้งานได้ทันทีเมื่อฝาปิดเลนส์เปิดออก ทำให้เลนส์ Carl Zeiss Vario-Tessor ซึ่งมีออฟติคอลซูม 5 เท่า และจอภาพขนาด 3.5 นิ้ว ด้านหลังทำงานได้ กล้องรุ่นนี้ใช้การควบคุมจากการสัมผัสหน้าจอเป็นหลัก ทำให้มีปุ่มหลักเพียง 4 ปุ่มเท่านั้นที่ด้านบนของตัวเครื่อง แต่บางคนก็บอกว่าปุ่มซูมมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับผู้มีนิ้วมือใหญ่
     จากการทดลองใช้ พบว่ายากที่จะถ่ายรูปได้ไม่สวย เพราะกล้องมีระบบป้องกันภาพไม่ชัด พร้อมทั้งเทคโนโลยีการถ่ายภาพที่แม่นยำ ISO สูงถึง 3200 แต่ภาพอาจจะไม่สวยมากนักกรณีถ่ายในร่มที่แสงน้อย ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดกับกล้องยี่ห้ออื่นในรุ่นใกล้เคียงกัน
     ระบบ MPEG movie ทำงานได้ดี พร้อมทั้งมืออฟติคอลซูม ในขณะที่กำลังถ่ายาภาพเคลื่อนไหวด้วย และกล้องรุ่นนี้ยังสามารถต่อเข้ากับโทรทัศน์ความละเอียดสูง โดยมีสายต่อเฉพาะสำหรับเอชดีที่มีการจำหน่ายเพิ่มเป็นอุปกรณ์เสริม นอกจากนี้ยังสามารถปรับภาพในอัตราส่วน 16:9 เพื่อทำให้เหมาะสมกับการชมผ่านทีวีจอแบนทั่วไป และยังสามารถดูภาพในรูปแบบสไลด์โชว์พร้อมกับการเลือกเพลงประกอบได้
ราคา: 17,900 บาท

Samsung SGH-U700


     ซัมซุงเครื่องเล็กบางกะทัดรัดนี้ มีคุณสมบัติเด่นหลายอย่างที่น่าจัดตามอง ไม่ว่าจะเป็นการรองรับระบบหลากหลาย เช่น MMS UMTS 2100MHz HSDPA 3.5 Mbs Triband GSM/GPRS/EDGE 900 1800 MHz ด้วยจอขนาด 2.2 นิ้ว 626K หน้าจอสี TFT ความละเอียด 240 x 320 พิกเซล
     SGH-U700 มีขนาด 102.5 x 50 x 12.1 มม. หนัก 86 กรัม พร้อมหน่วยความจำภาพใน 40 MB เพิ่มหน่วยความจำภายนอกด้วยไมโครเอสดีการ์ด กล้อง 3.2 ล้านพิกเซล ออฟติคอลซูม 4 เท่าที่สามารถจัดโฟกัสได้รวดเร็ว พร้อมแฟลช สามารถถ่ายวิดีโอและใช้วิดีโอคอลล์ได้ พูดติดต่อได้นาน 2 ชั่วโมง และสามารถเปิดสายรอได้ถึง 270 ชั่วโมง
     U700 ออกแบบได้โฉบเฉี่ยวเก๋ไก๋มาก ด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การซ่อนช่องเสียบหูฟังและช่องสำหรับต่อสายต่าง ๆ รุ่นนี้ไม่มีเกมส์ในตัว แต่หากต้องการก็สามารถดาวน์โหลกได้จากจาวาเกมส์ นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอสัมผัสให้ผู้ใช้ควบคุมโปรแกรมต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายด้วย อย่างไรก็ตาม หากจะใช้งานให้ถนัดถนี่ก็ค่อนข้างจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้นิดหน่อย แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าจะคุ้นเคย และถ้าคุ้นแล้วก็สามารถสนุกกับมือถือสวย ๆ เครื่องนี้ได้เต็มที U700 มีคุณสมบัติที่ทำให้หลายคนชอบด้วยความบาง กะทัดรัดพกใส่กระเป๋าได้ง่าย
ราคา : 14,900 บาท

Nokia N95-1


     โนเกีย N-series โดยเฉพาะ N95-1 เป็นมือถือที่มีความใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์ แต่ราคาก็สูงพอสมควร สำหรับคนที่ต้องการเดินทางอยู่ตลอดเวลา N-95 ช่วยได้มาก เพราะมีระบบแผนที่อันชาญฉลาด
     ส่วนคุณสมบัติอื่น ๆ ก็เป็นไปตามมาตรฐานโนเกีย แต่ที่น่าสนใจนเป็นพิเศษคือ มีกล้อง 2 ตัว กล้องด้านหน้ามีความละเอียดไม่มากนัก ในขณะที่กล้องด้านหลังละเอียดถึง 5 ล้านพิกเซล ได้ภาพที่มีขนาด 2,592 x 1,944 พิกเซลทีเดียว
ราคา : 24,300 บาท

Nokia N81


     โนเกีย N81 และ N81 8GB เป็นมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งคลอดออกมาสด ๆ ร้อน ๆ จากโรงงาน สำหรับคนที่ชอบเสียงเพลงและมัลติมีเดีย ควรจะมองรุ่นนี้ดูก่อนตัดสินใจ เช่นเดี่ยวกับนักเล่นเกมที่นิยมเกมแบบแลนด์สเคป หรือ N-Gage และเกมที่สามารถดาวน์โหลดมาเล่นกับเพื่อน ก็ไม่น่าจะพลาด
     N81 มาพร้อมกับคุณสมบัติมาตรฐานของโนเกีย เช่น กล้อง 2 ล้านพิกเซล และการบันทึกวิดีโอ พร้อมแฟลชในตัว MP3 วิดีโอ ต่ออินเตอร์เน็ต ไวร์เลสแลน บูลทูธ และวอยซ์โอเวอร์ไอพี ส่งอีเมล์ SMS MMS นอกจากนี้ยังมีวิทยุเอฟเอ็ม พร้อมช่องสถานีให้เลือก กับหน้าจอขนาด 2.4 นิ้วแบบ QVGA หรือ 240 x 320 พิกเซล รองรับได้ 16.7 ล้านสี
     สำหรับคนที่มักหลงทาง N81 มีระบบแผนที่ที่ถืnว่าดีมาก ด้วยเทคโนโลยีจีพีเอส ทำให้สามารถโชว์ตำแหน่งถึงระดับถนนที่ถูกต้องได้ทุกแห่งในโลกนี้ และมีแผนที่เมืองใหญ่ ๆ ในโลกขายอีกต่างหาก นับได้ว่าเป็นคุณสมบัติเด่นที่หาได้ยากในมือถือของค่ายอื่น
     N81 เป็นมือถือแบบฝาสไลด์ ที่เปิดขึ้น เพื่อให้กดปุ่มต่าง ๆ ได้ แถมมีลำโพงทั้ง 2 ด้าน ทำให้รับเสียงได้ชัดเจนกว่าโทรศัพท์รุ่นอื่น ๆ ส่วนขนาด และน้ำหนัก นับว่าใหญ่กว่าโทรศัพท์ทั่วไปเล็กน้อย แต่ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาด ก็ทำให้ง่ายต่อการใช้ คุณสมบัติที่ใส่มาในโนเกียรุ่นนี้ถือว่าน่าทึ้งมาก ด้วยขนาดที่เล็กลง แต่ความสามารถที่ไว้ใจได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ความน่าสนใจสูง
ราคา : N81 = 16,950 บาท N81 8GB = 20,300 บาท